ภาพยนตร์สารคดี The End of the Storm หรือที่แปลเป็นไทยว่า “จุดสิ้นสุดของพายุฝน” ถูกสร้างขึ้นมาเป็นหนังจากอดัม บูลล์มอร์ โปรดิวเซอร์ซีรีส์ This is Football และ เจมส์ เออร์สคิน ผู้กำกับสารคดีกีฬาชื่อดัง เพื่อรำลึกถึงปีประวัติศาสตร์ของการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี โดยเข้าฉายในอังกฤษ เมื่อเดือนพฤศจิกายน ส่วนในไทย พึ่งเข้าฉาย เมื่อวันที่ 28 มกราคม ที่ผ่านมา
โดยจากการรับชมหนังเรื่องนี้ ซึ่งมีความยาว 99 นาที ทำให้ในวันนี้จะมา รีวิวเรื่องราวต่างๆ ในหนังเรื่องนี้ ให้กับสาวกเดอะค็อปที่ยังไม่ได้ดู หรือกำลังจะไปดู กับ 5 จุดสำคัญ ของภาพยนตร์สารคดี The End of the Storm
1. เนื้อเรื่องดำเนินด้วย เยอร์เก้น คล็อปป์ และนักเตะคนสำคัญในทีม
ตลอดทั้งเรื่อง มีเยอร์เก้น คล็อปป์ ผู้เป็นกุนซือของทีม ดำเนินการเล่าเรื่องในทุกเหตุการณ์ของทีม ส่วนนักเตะคนสำคัญในทีม จะเล่าเรื่องในส่วนปลีกย่อยสมทบ
- เยอร์เก้น คล็อปป์ เล่าถึงตัวของเขาตั้งแต่วัยเด็ก ก่อนจะเติบโตมาเป็นนักฟุตบอลตามความปรารถนาของคุณพ่อ แต่เขาก็เป็นได้เพียงนักเตะธรรมดาๆ ก่อนจะผันตัวมาเป็นกุนซือที่มีชื่อเสียง แล้วได้มาคุมทีมที่ตรงกับบุคลิกของเขาอย่างลิเวอร์พูล แต่นับเป็นเรื่องน่าเสียดายที่คุณพ่อของคล็อปป์ไม่มีโอกาสได้เห็นความสำเร็จในวันนี้ จากนั้นกุนซือชาวเยอรมันก็ได้เล่าถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่นัดแรก ถึงวันที่ทีมชูถ้วย
- นักเตะที่มีฉากสัมภาษณ์ ประกอบไปด้วย อลิสซง ที่เข้ามาเล่าถึงการเป็นจิ๊กซอว์สำคัญในเกมรับ, ฟานไดค์ ที่มาเล่าถึงการเป็นกำลังของทีม พร้อมกับเป็นผู้นำในแผงหลัง, เทรนต์ ที่เข้ามาเล่าถึงความภาคภูมิใจในฐานะนักเตะท้องถิ่น, เฮนเดอร์สัน กับผู้นำของทีมที่ทุ่มเททุกอย่างกว่าจะมาถึงวันนี้, มาเน่ กับการเป็นศูนย์หน้าในยุคแรกของคล็อปป์, ฟีร์มิโน่ กับการเป็นผู้ปิดทองหลังพระในแดนหน้า และปิดท้ายด้วย เซอร์เคนี่ ซึ่งเป็นตำนานที่คอยอยู่ดูทีมมาตลอ
2. การปูเรื่อง ด้วยการเล่าภูมิหลังของฤดูกาลก่อนๆ
ขึ้นชื่อว่าเป็นสาวกเดอะค็อป ทุกคนคงจะทราบดีว่าลิเวอร์พูล ต้องผิดหวังมากี่หนกับการคว้าแชมป์ลีกสูงสุดที่รอคอย ซึ่งในส่วนนี้จะเป็นการเล่าถึงภูมิหลัง เพื่อสื่อให้เห็นว่าฤดูกาล 2019/20 จะไม่มีภาพแห่งความผิดหวังเกิดขึ้นอีก
- การเล่าถึงอดีต ในแง่ของความสำเร็จที่เคยทำได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ กระทั่งทีมเริ่มร้างราจากถ้วยแชมป์ไปนานกว่า 2 ทศวรรษ เข้าให้แล้ว
- การเล่าถึงช่วงท้ายฤดูกาล 2013/14 ที่โมเมนตัมกำลังอยู่กับลิเวอร์พูล แต่การลื่นของเจอร์ราร์ด ในนัดที่พบกับเชลซี แล้วพ่ายคาแอนฟิลด์ไป 0-2 นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญให้ทีมพลาดแชมป์ลีก
- การเก็บได้ถึง 97 คะแนน แต่ได้เพียงรองแชมป์ในฤดูกาล 2018/19 นับเป็นความรู้สึกที่น่าเจ็บใจอย่างยิ่ง เพราะนี่เป็นการเก็บแต้มได้มากที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งสโมสร
3. การเล่าเรื่องที่คนรู้อยู่แล้ว ให้รู้สึกลุ้นระลึก
การแข่งตลอด 38 นัด ของฤดูกาล 2019/20 สาวกเดอะค็อปที่ติดตามให้กำลังใจทีมเป็นประจำ ย่อมทราบดีว่านัดนี้ นัดนั้น ลิเวอร์พูลพบกับใคร และผลการแข่งขันออกมาเป็นไร แต่ในหนังเรื่องนี้จะมาเล่าถึงในแง่มุมของพวกเขา ซึ่งจะทำให้เราที่เป็นผู้ดูรู้สึกตื่นเต้นตามไปด้วย แม้ว่าเราจะรู้สึกจุดจบของเรื่องนี้
- เรื่องแรก คือปัญหาอาการบาดเจ็บของ อลิสซง ตั้งแต่นัดเปิดฤดูกาล แต่ความโชคดีที่มีนายทวารมือรองอย่าง อาเดรียน เข้ามาในวินาทีสุดท้ายก่อนตลาดปิด ทำให้การขาดหายไปของนายทวารชาวบราซิลไม่ส่งผลเสีย
- การประเดิมสนามด้วยการชนะรวด 8 นัด ซึ่งนับเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ ก่อนจะมาโดนคู่อริตลอดกาลอย่าง แมนยู หยุดยั้งไว้ได้
- การคว้าชัยชนะเหนือ แมนซิตี้ ที่แอนฟิลด์ ทำให้ระยะห่างของคะแนนเพิ่มขึ้นเป็น 9 แต้ม ในขณะที่เกมการแข่งขันผ่านไปแล้วเกือบครึ่งทาง นั่นทำให้การลุ้นแชมป์เริ่มจะหายใจคล่องคอมากขึ้น
- การอุบัติขึ้นมาของโควิด-19 ทำให้เกมลีกต้องหยุดชะงัก พร้อมกับความหวาดหวั่นว่าผลการแข่งขันในฤดูกาลนี้จะถูกยกเป็นโมฆะ ก่อนที่ความกังวลเหล่านั้นจะหายไป เพราะการแข่งขันสามารถกลับเตะกันต่อได้
4. การแทรกเรื่องราวที่สาวกอย่างเราๆ ไม่เคยรู้มาก่อน
หลายประเด็นอาจปรากฏตามหน้าสื่อให้เราได้เห็น แต่บางอย่างก็ไม่เคยปรากฏตามหน้าสื่อ ซึ่งเราจะได้รู้กันหลังดูหนังเรื่องนี้
- การขอย้ายทีมแบบสายฟ้าแลบของมิโญเล่ต์ เป็นเรื่องแรกที่คล็อปป์เปิดปากเล่าในหนังเรื่องนี้ เพราะนายทวารชาวเบลเยียมเดินมาหาเขาที่ห้องทำงาน พร้อมบอกว่ามีโอกาสดีๆ จากบ้านเกิด แถมมีการปรึกษากับเมียแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ทำให้คล็อปป์หนักใจ เพราะอีก 1 สัปดาห์ ฟุตบอลลีกก็จะเริ่มแข่งแล้ว ทำให้ในช่วง 7 วัน ที่เหลือ คล็อปป์พร้อมกับทีมงานต้องเร่งหานายด่านมือรองคนใหม่ ก่อนที่ไปจบดีลกับอาเดรียน
- ตารางแข่งฟุตบอลช่วงเดือนธันวาคม มีการเอาโปรแกรมคาราบาวคัพมาลงช่วงกลางเดือน ซึ่งมันไปทับซ้อนกับโปรแกรมฟีฟ่า คลับเวิลด์คัพ ที่ประเทศการตาร์ ทำให้เกิดการชั่งน้ำหนักว่าจะไปเล่นฟีฟ่า คลับเวิลด์คัพ หรืออยู่เล่นคาราบาว คัพ รอบ 8 ทีม สุดท้าย โดยตอนแรก คล็อปป์ตั้งใจจะส่งเด็กไปเล่นที่กาตาร์ แต่นักเตะจากบราซิลอย่าง อลิสซง ฟีร์มิโน่ และฟาบินโญ่ ต่างมีทัศนคติที่หิวกระหายกับถ้วยนี้มาก เพราะการที่คุณจะมาเล่นถ้วยนี้ได้ คุณต้องเป็นแชมป์ของทวีปก่อน ฉะนั้นเมื่อคล็อปปืได้รับฟังเช่นนี้จึงจัดทัพใหญ่ไปแข่งที่กาตาร์ทันที ก่อนที่ในบั้นปลายจะคว้าแชมป์กลับมาได้สำเร็จ
- ในช่วงที่โควิด-19 ระบาด จนทำให้การแข่งขันต้องระงับ แล้วนักเตะทุกคนต้องอยู่บ้าน ทำให้ต้องมีการวีดิโอคอลเพื่อฝึกซ้อมเบาๆ ซึ่งเราจะเห็นได้ตามหน้าสื่อ แต่เบื้องหลังที่เฮนเดอร์สันเหล่านั้น มีผู้เล่นหลายคนที่จิตตก ทำให้มีการตั้งกฎว่าถ้าใครเครียดอะไร สามารถเข้ากลุ่ม เพื่อเปิดวิดีโอคอลหมู่ได้เสมอ เพื่อคลายความเครียด
- เฮนเดอร์สัน ย้ายมาอยู่กับลิเวอร์พูล เพราะสายตาอันกว้างไกลของเคนนี่ ดัลกลิช กระทั่งการอยู่ใต้ชายคาแอนฟิลด์ 9 ปี เขาสามารถคว้าแชมป์ลีก ซึ่งคนที่มอบถ้วยให้กับเขาก็คือ ดัลกลิช ฉะนั้นสำหรับตัวเฮนโด้ มันเปรียบเสมือนกับผู้ให้ทางและเป็นผู้ให้รางวัลที่เขารอคอยมันมาทั้งชีวิต
5. ความรักต่อทีม จากสาวกเดอะค็อปทั่วโลก
แฟนบอลลิเวอร์พูล ไม่ได้มีแค่ในอังกฤษ แต่มันมีอยู่ทั่วทุกมุมโลก ซึ่งในส่วนนี้มีการนำสาวกหงส์แดงจาก 5 ประเทศ มาบอกเล่าถึงความรักที่มีต่อทีม
- แฟนบอลจากบราซิล มีกิจวัตรในทุกวันสุดสัปดาห์ เริ่มจากตื่นนอนแล้วจะมาดูข่าวสารของทีม พร้อมกับชมการแข่งขันของทีมในช่วงกลางวัน นั่นจึงทำให้วันที่ลิเวอร์พูลมีแข่ง พวกเขาจะไม่ได้ไปไหนเลย
- แม้ว่าคนอินเดียจะนิยมในกีฬาคริกเก็ตมาก แต่ก็ยังมีครอบครัวเล็กๆ ที่หลงรักหงส์แดงสุดหัวใจ ซึ่งการติดตามทีมรักจะอยู่ในช่วงเวลาทานอาหารค่ำ นั่นจึงทำให้อาหารมื้อเย็นของพวกเขายาวนานกว่าบ้านอื่นๆ
- สาวกหงส์แดงจากจีน จะต้องตื่นขึ้นมาดูทีมรักในช่วงหัวค่ำ จนถึงกลางดึกเสมอ ซึ่งเขาจะติดตามดูทุกนัด อีกทั้งในช่วงที่เมืองอู่ฮั่นมีการระบาดของโควิด-19 ใหม่ๆ ลิเวอร์พูลคือสิ่งเดียวที่ช่วยเยียวยาความเครียดแก่เขาได้
- สาวกหงส์แดงจากญี่ปุ่น เกิดความหลงรักทีมในทันทีที่ได้มาเห็นแอนฟิลด์ นั่นจึงทำให้เขาเลือกตั้งถิ่นฐานในเมืองแห่งนี้แบบถาวร
- สาวกหงส์แดงในนิวซีแลนด์ จะต้องตื่นแต่เช้า เพื่อมานั่งชมทีมรักก่อนไปทำงาน หรือเรียนหนังสือ ซึ่งพวกเขาไม่เคยตื่นสายเลย เพราะการตื่นนอนแล้วได้เห็นทีมรักลงแข่ง มันคือความสุขที่หาซื้อไม่ได้
- ส่วนแฟนบอลในอังกฤษ พวกเขากล่าวว่าครอบครัวและบรรพบุรุษ จะเดินทางไปเชียร์ลิเวอร์พูลทุกที่ ไม่ว่าจะอยู่มุมไหนของโลก ฉะนั้นทุกเหตุการณ์สำคัญ ครอบครัวของเขารู้เห็นด้วยตาตัวเองทั้งสิ้น
จากที่ได้นำมารีวิวในวันนี้ เชื่อว่าหากใครที่ติดตามทีมมาอย่างยาวนานจะต้องมีเสียน้ำตากันไปบ้างเป็นแน่ เพราะทีมนี้ต้องฝ่าฟันอะไรมามากเหลือเกิน ก่อนจะชูถ้วยใบนี้เหนือหัวได้สำเร็จ ฉะนั้นสำหรับใครที่รักหงส์แดงสุดหัวใจ ขอให้ท่านได้ไปรับชมด้วยตาตัวเองที่โรงภาพยนตร์สักครั้ง แล้วเมื่อท่านได้รับชมเสร็จ เชื่อว่าท่านจะรักหงส์แดง ตัวนี้เพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวีคูณอย่างแน่นอน